Leica MP
- Paronya
- May 14, 2018
- 3 min read
Updated: Aug 24, 2023
"Mechanical Perfection"

มาชวนคุยชวนว่ากันไปกับเรื่องกล้องฟิล์มระดับท๊อป ๆ ตัวหนึ่งของค่าย Leica ครับ หลังจากที่ M6 ครองใจชาว Range finder มาตั้งแต่ปี 1984 จนอายุอานามร่วม 18 ปี Leica ก็เปิดตัวกล้องรุ่นใหม่มาในปี 2003 คือ Leica MP โดยกล่าวว่าทางทีมพัฒนาได้เรียนรู้ข้อจำกัดในส่วนต่าง ๆ ของ Leica M6 มาแล้วเป็นเวลาหลายปี และได้จัดการแก้ไข ออกแบบใหม่ มาลงตัวอยู่ในกล้องรุ่นนี้ ซึ่งก็วางตลาดมาตั้งแต่ปี 2003 จนถึงปัจจุบันก็ยังอยู่ในสายการผลิต (นับที่ 2018 ก็ 15 ปีแล้ว) หลายคนโดยเฉพาะนักถ่ายภาพที่เริ่มมาจากดิจิทัลคงสงสัยว่าแล้วภาพที่ได้มันจะต่างกันมั้ย ตอบได้เลยนะครับ ว่าภาพที่ได้ไม่ต่างกันเลยครับ มันขึ้นอยู่กับเลนส์และฟิล์มเท่านั้น ส่วนถ้าจะให้เปรียบเทียบ Leica MP กับ Leica M6 TTL ว่าต่างกันอย่างไรก็คงบอกได้คร่าว ๆ ดังนี้นะครับ
1. ข้อสำคัญที่สุดคือการปรับปรุงแก้ไขช่องมองภาพและตัวหาพิสัยไม่ให้เกิดการแฟลร์แล้ว ซึ่งเรื่องนี้เป็นปัญหาหลัก ๆ ของ Leica M6 เลยครับ เล็งยากอย่างที่เคยรีวิว M6 ให้ได้อ่านกันคราวก่อน วิวไฟน์เดอร์ของ MP ตัวนี้ดีทีเดียวครับ ใช้ได้ไม่ตะขิดตะขวงใจแล้ว ทั้งเรื่องแฟลร์และความใสเคลียร์ ในเล่มของ Erwin Puts ยังเสริมอีกว่ามีการออกแบบ Top plate ใหม่ให้ลดแรงกดทางกายภาพที่กดลงกลไกของระบบหาพิสัยด้วย
2. ปรับปรุงระบบวัดแสงใหม่ เคยอ่าน ๆ หาข้อมูลดูเห็นหลายคนพูดว่า Leica M6 TTL วัดแสงมันเสียง่าย (ง่ายกว่า M6 Classics) ตรงนี้ไม่มั่นใจเหมือนกันเพราะไม่เคยใช้พังและไม่มีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคราวนี้ Leica MP ได้รับออกแบบระบบวัดแสงใหม่ (ถ้าลอง search ดูจะมีเว็บบอร์ดแห่งหนึ่งที่มีสมาชิกมาแกะ Leica M6 และ Leica MP เทียบกันดูชัด ๆ จะเห็นเลยว่ามีหลายสิ่งเปลี่ยนไปมาก) และ Leica MP ตัวนี้ไม่มีซิงค์แฟลช TTL แล้วนะครับ ดังนั้นพอปรับปรุงตรงนี้และออกแบบเรื่องแผงวงจรวัดแสงใหม่ทำให้ Leica MP เตี้ยกว่า Leica M6TTL อยู่ราว 2 มม. (เพราะ M6TTL มีแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ซ้อนอยู่ด้านบนเหนือชุดหาพิสัยและช่องมองภาพ อีกชั้นหนึ่ง) ระบบวัดแสงถูกเคลมว่าทำงานได้แม่นยำกว่าด้วย
3. กลไกชัตเตอร์ครับ Leica MP นุ่มนวลกว่า Leica M6 อย่างชัดเจน หลายคนสงสัยว่าจะไปใส่ใจอะไรกับมัน ก็จะคลายสงสัยให้ได้ว่าชัตเตอร์ที่มีความนุ่มนวลนี้ ทำให้กล้องนิ่งครับ เราสามารถถือถ่ายได้ด้วยความไวชัตเตอร์ที่ต่ำลง ซึ่งสมัยก่อนจะมีข้อจำกัดด้าน ISO ของฟิล์ม ปัจจัยนี้จึงมีความสำคัญต่อโอกาสการได้ภาพมากครับ
ผมว่าเรื่องหลัก ๆ มันคงมีเท่านี้นะครับ ที่เหลือจะเป็นเรื่องความสวยงาม อารมณ์ เสียมากกว่า ประมาณว่า
4. Leica MP ทำออกมาสองสีคือดำและเงิน (ไม่นับตัวพิเศษนะครับ) มาพร้อมวัสดุทองเหลืองที่ถูกอกถูกใจแฟนไลก้าเป็นอย่างมาก ยิ่งตัว Black paint แล้ว การใช้จนมันลอกเห็นสีทองเหลืองตัดกับดำเงานั้น หลายท่านว่าเซ็กซี่ยิ่งนัก (กล้องอะไรหวาน กล้องอะไรเซ็กซี่ ผมว่าคนเล่นกล้องต้องมาถึงจุดนึงเลยนะ ถึงจะรู้สึกแบบนี้ได้ ฮ่ะ ๆ ๆ ผมเองเห็นแล้วก็ทนไม่ไหวเหมือนกัน เด็กมันยั่ว...) ส่วนตัวผมว่าจะให้เซ็กซี่จริงอย่าเพิ่งรีบไปขัดมันครับ ใช้เยอะ ๆ ให้มันลอกไปกับเรา ให้กล้องมันร่วมแชร์ชีวิตและความทรงจำไปกับเราครับ มันคงจะเด็ดมาก แกะสติ๊กเกอร์กันรอยออกให้หมดแล้วใช้เลยครับ ลุยไป
5. กลับไปไม่มีจุดแดง ซึ่งตรงนี้ผมชอบนะครับ (จำได้ไม่แน่ว่า M4-P จะเป็นรุ่นแรกหรือเปล่าที่มีจุดแดงติดมา) มันเพียว ๆ ดี เหมือน M เก่า ๆ เอาจริง ๆ คือผมว่ากล้องมีจุดแดงแล้วมันไม่สวยครับ 555 กล้องใหญ่ ๆ ที่ต้องแปะยี่ห้อตัวเองตรงกระโหลกรวมถึง Leica SL ผมก็ไม่ชอบ ความเห็นส่วนตัวนะครับ ยิ่งรุ่น M typ240 ที่ขยายขนาดจุดแดงขึ้นมาอีกยิ่งกรี๊ด ไม่ได้อยากเอาไว้อวดขนาดนั้น มันไม่มีรสนิยมมม ซึ่งเหตุผลตรงที่ไม่มีจุดโลโก้นี้ก็อ้างกันไปว่า กล้องมันจะไม่สะดุดตา ถ่ายแล้วตัวแบบไม่เครียด ไม่เกร็งบ้าง อะไรก็ว่าไป ซึ่งก็แล้วแต่คนชอบครับ
6. ส่วนกรอฟิล์มใช้เป็นปุ่มหมุนเหมือนของคลาสสิกดั้งเดิม อันนี้ไม่มีความเห็นครับ จะแบบไหนก็ใช้ได้เหมือนกัน แต่ในแง่ความลงตัวผมชอบแบบนี้มากกว่า ไม่ต้องมามีที่กรอฟิล์มเอียง ๆ มันดูไม่เรียบร้อยไปด้วยกันเท่าแบบนี้
7. ก้านขึ้นฟิล์มเป็นทองเหลืองทั้งแท่งเหมือน M3 2 1 ไม่มีชิ้นส่วนพลาสติกมาปน
8. แป้นหมุนปรับ ISO มีแค่ค่า ISO ให้เลือกเท่านั้น ไม่มี DIN อีกต่อไป
9. แถบพลาสติกกันสายคล้องคอขูดขีดกับตัวกล้องหายไป ทำให้ไม่กล้าใช้สายคล้องคอของไลก้าเลยทั้ง ๆ ทีเป็นสายคล้องคอที่ออกแบบดีมาก ๆ ห่วงที่เกี่ยวกับ strap lug จะไม่มีรอยต่อ ไม่น่าจะสามารถขูดกิน strap lug ให้สึกได้มากนัก แต่มันดันมีชิ้นพลาสติกแข็ง ๆ ปิด ซึ่งพลาสติกนี้แหละครับจะขูดกับตัวกล้องตรง ๆ
10. Frame selector เป็นทองเหลือง ไม่มีพลาสติกปน หมดปัญหาเรื่องการหลุดหายดังเห็นได้บ่อยๆ ใน M6 ตัวเก่า ๆ ที่สภาพโทรม ๆ หน่อย
11. ตัวอักษรทุกอย่าง รวมถึงบนแป้นปรับความไวชัตเตอร์เป็นการแกะสลักแล้วลงสีทั้งหมดครับ ไม่เหมือน M6 TTL ฝที่เป็นการสกรีน โดนถูไถแรง ๆ มันลอกได้ (ย้ำว่าลอกได้จริง ๆ เคยเห็นมากับตา)
ผมว่าข้อแตกต่างประมาณนี้ก็หมดแล้วครับ ปัจจุบันมีกล้องฟิล์ม Leica M-A ที่เป็น Mechanic ล้วนไม่มีวัดแสงตัวท๊อปออกมาให้ชื่นชมอีกตัว อยากกกก เหลือเกินที่จะลองเล่น แต่หามือสองยากมากเลยครับ สมัยก่อนกล้องฟิล์มรุ่นหนึ่ง ๆ มันทำตลาดอยู่นานหลายปี (ไม่เหมือนกล้องดิจิทัลสมัยใหม่ ๆ ที่ออกรุ่นใหม่กันทุกปี ตลาดบน กลาง ล่าง ผลัดกันออกบ่อยเหมือนโทรศัพท์เลย) เพราะภาพนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวกล้องครับ มันอยู่ที่เลนส์และฟิล์มเป็นหลัก กล้องทำหน้าที่เป็นตัวสร้าง “โอกาส” ในการได้ภาพ สมัยก่อนกล้องโปรไม่โปรก็วัดกันที่วัสดุความทนทาน ความเร็วของการถ่ายภาพต่อเนื่อง ความไวของโฟกัส จำนวนจุดโฟกัส จนช่วงท้าย ๆ ของกล้องฟิล์มต่อไปยุคดิจิทัล กล้องจะมันส์มาก เป็นอิเล็กทรอนิกส์แบบขาด ๆ เกิน ๆ ดี เป็นเสน่ห์ของยุคนั้น ของเจ๋ง ๆ ก็คลับคล้ายคลับคลาว่ามี Minolta ที่ใช้ระบบ eye-focus ที่ตอนหลังมารวมกับ Konica และถูก Sony ซื้อไป แล้วยังเอาเรื่องนี้ไปใช้กับกล้องอัลฟ่าด้วย กล้องคอมแพคยุคหลัง ๆ ก็กรอฟิล์ม ขึ้นฟิล์มกันอัตโนมัติอยู่แล้ว แม้แต่ Leica M เองก็มี accessories ออกมามากมายเพื่อเสริมประสิทธิภาพของกล้อง เช่น Leicavit หรือ Leica Motor M สมัยเด็ก ๆ นั้นยังเข้าไม่ถึงกล้องถ่ายภาพพวกนี้เท่าไร กล้องติดมือผมคือคอมแพค Olympus mju zoom ที่มีแฟลชเหมือนตาปูนั่นแหละ ในอดีตเคยจำได้ว่าเห็นกล้อง Olympus รุ่นอะไรไม่รู้ของคุณอาหน้าตาอย่างกับกล้องวิดีโอ ซูมได้ระเบิดระเบ้อ ราคาสองหมื่นกว่าขณะนั้นก็ตาโตแล้ว (ปัจจุบันคุณอาท่านนี้ยังคงใช้กล้องฟิล์มมาตลอดจำไม่ได้ว่า เป็น Nikon รุ่นอะไร กับจักรยานยนต์เวสป้า 1 คัน ตระเวนถ่ายภาพทั่วประเทศไทย) ส่วนคุณพ่อผมก็มาสาย Fujifilm กล้องคอมแพคซูมได้เยอะ ๆ เหมือนกัน รุ่นอะไรไม่รู้ตัวแบน ๆ ตลกดี แกชอบถ่ายธรรมชาติเลยเป็นแฟนค่ายเขียว ไลก้าเองตัวคอมแพคฟิล์มบางตัว หรือตัวดิจิทัลแรก ๆ ก็มีความขาด ๆ เกิน ๆ เหมือนกัน แต่ Leica M กลับยังคงมีคาแรกเตอร์เหนียวแน่น จนล่วงเลยมาถึงยุค M ดิจิทัลก็ปี 2006 เข้าไปแล้ว ซึ่งกี่รุ่น ๆ พี่แกก็ไม่เคยไปแข่งความเร็วการถ่ายภาพต่อเนื่อง ISO ออโต้โฟกัสก็ไม่เคยมี เพราะไม่เคยสู้ใครเขาได้ เอาจริง ๆ มันอยู่มาได้ด้วยอะไรก็ไม่รู้ จะว่าอยู่ด้วยเลนส์ บอดี้ก็ไม่น่าจะขายออก ชะรอยว่าจะเป็นเรื่อง วัสดุ งานประกอบ กลไก และความอึดถึกทนทานของมัน มาถึงยุคดิจิทัลก็คงมาได้จุดขายเรื่องคาแรกเตอร์ของภาพเพิ่มเติมมาอีกประการหนึ่ง นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจของยี่ห้อนี้ผมว่ามันเป็นเรื่องของการสร้าง Brand ครับ จากกล้องอึด ๆ ถึก ๆ ทน ๆ ช่างภาพนิยมใช้เพราะทนทานดี จนภาพระดับตำนานหลายต่อหลายภาพก็มาจากกล้องยี่ห้อนี้ กลายมาเป็นของสะสมราคาแพง รุ่นพิเศษต่าง ๆ ตบเท้ากันออกมามากมาย จนท้ายสุดกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของแฟชั่น สิ่งแสดงถึงความหรูหราอะไรบางอย่าง (ขนาดตอนนี้เน็ตไอดอลบ้านเราก็เอากล้องไลก้ามารีวิวกันเยอะแยะ) จนปัจจุบันน้อยคนจริง ๆ ที่จะได้ใช้มันอย่างจริงจังเหมือนสิ่งที่มันถูกสร้างให้เป็น จะพูดไปตัวเองก็ใช้ไม่เคยคุ้ม 555 เอ้า! ว่าจะคุยเรื่อง Leica MP ก็พาออกไปไหนเสียไกลอีกแล้ว

Leica MP นี้หลายท่านเคยว่าไว้ว่าเป็นตัวจบสายฟิล์ม 135 แต่ส่วนตัวผมไม่เชื่อหรอกครับ เจอตัวจบมาหลายตัวแล้วก็ยังไม่จบเสียที เหนือกว่า MP ก็มีพวก limited อีกมหาศาล (ยกตัวอย่าง Leica MP Hermes edition ที่น่าเก็บมาก ๆ ราคาก็ยังพอน่ารักอยู่) นั่น ๆ เลิกพูดกันได้เลยครับ ตัวนั้นจบ ตัวนี้จบ มันไม่จบครับมีแต่จะจบชีวิตเพราะหิ้วกล้องเข้าบ้านเสียก่อน แต่ถ้าไม่คิดเรื่องจบไม่จบนะครับ ลองคิดกันดี ๆ ผมว่าคนจะมา MP เพื่อเอาไว้ใช้งานมันต้องชั่งใจกันระดับนึงว่าภาพมันก็ได้เหมือน ๆ M6 นั่นแหละ แต่ราคาแพงกว่าเกือบสองเท่า ถ้าคิดในเรื่องเงินยังไงก็ไม่คุ้มแน่ ๆ (แต่ปัจจุบันคนใช้ M6 กันเยอะมาก ๆ เพราะมันลงตัวสุดแล้วครับ มีวัดแสงในตัวด้วย รูปทรงก็คลาสสิก ราคาก็น่ารัก(น้อยลงเรื่อย ๆ)) อย่างไรก็ตาม M6 เองมันเลิกผลิตไป 16 ปีแล้ว เคยมีคนจะส่งซ่อมระบบวัดแสง Leica ไม่รับซ่อมก็มีมากันแล้วนะครับ ส่วน MP นั้นยังอยู่ในไลน์การผลิต คาดว่าไม่น่ามีปัญหาเรื่องซ่อมแซมไปอีกหลายปี ส่วนแพงกว่าแล้วได้อะไรมากกว่า M6 ก็กลับไปอ่านด้านบนกันนะครับ แหะ ๆ

ตัวที่เอามารีวิวนี้เจ้าของเก่าท่านเปลี่ยนหนังมา จากผิวสัมผัสสาก ๆ เรียบ ๆ เป็นมีลวดลายแบบหนัง เปลี่ยนมาซะเหมือน Leica MP 6 เลย (เป็นตัว Limited ที่ขายในญี่ปุ่น น่าจะผลิตราว 400 ตัว ใช้หนังลายนี้ สลักด้านบน Top plate แป้นปรับ ISO ทำเหมือนกับรุ่น M6) ซึ่งหายากราคาแพงไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าดูกล้องผม อย่าดู Top plate นะครับ ให้ดูแค่ด้านหน้า 555
ไม่พูดพร่ำทำเพลง แกะกล่อง หยิบขึ้นมาเล่นรอยนิ้วมือติดเต็มเลย คงต้องเช็ดกันทั้งวัน เปิดกล้องมาใส่ฟิล์มม้วนแรกด้วย Kodak Portra 400 วิธีการใส่ฟิล์มก็เหมือนกับ Leica M6 เป๊ะ ก็ไม่ได้ยากอะไรใส่ฟิล์มแล้วก็ลองกดถ่ายไป ขึ้นฟิล์มไป ตัวก้านหลุดมือเด้งกลับมาฟาดฮอตชูดังเพี้ยะะะ พอมามองดูดี ๆ จะเห็นว่าเป็นรอยกันทั้งตัวก้านและฐานฮอตชู ซึ่งก็เป็นมาตั้งแต่สมัย M3 แล้ว โถ... Mechanical Perfection ช่วยออกแบบกันใหม่ดี ๆ อีกหน่อยก็ไม่ได้ เพี๊ยะ ๆ กันไปนาน ๆ มีบุบแน่นอน และขอแจ้งตากล้องสาย (ทอง) เหลืองไว้เลยว่าก้านขึ้นฟิล์มนี่แหละครับ จะ Brassing เป็นจุดแรก ๆ พูดถึงการ Brassing ก็มีความหงุดหงิดกับเจ้า MP อยู่หน่อย ๆ เหมือนกัน เพราะบางชิ้นส่วนของกล้องมันเป็นโลหะก็จริงแต่มันไม่ใช่ทองเหลืองครับ เช่น ฝาปิดช่องใส่แบตเตอรี่ มันทำให้เวลาลอกแล้วเป็นสีเงินไม่เข้ากับส่วนอื่น ๆ (บอกตัวเองว่าใช้ให้ลอกก่อนเถอะ ค่อยมาบ่น)
เอาล่ะ พอขึ้นฟิล์มแล้ว เล็งแล้ว วัดแสงจะถ่ายละก็ต้องปรับชัตเตอร์สปีดกันนิดนึง เข้าใจว่าทำปุ่มเล็ก และตัวเลขกลับทิศทางกับ M6 TTL ไม่ว่ากัน พอเอานิ้วชี้ข้างขวาไปหมุนแป้นชัตเตอร์สปีด รูด ๆ ไปก็ได้ยินเสียงชัตเตอร์ กรึ๊บ! โอ้โห เสียงนุ่มนวลเพราะมาก เสียไป 15 บาทเพราะนิ้วชี้ไปทับบนปุ่มชัตเตอร์ อันนี้โทษอะไรกล้องไม่ได้ ต้องโทษตัว Soft release (ไม่ยอมโทษตัวเอง) ที่อยากจะติดเสริมหล่อทำให้ปุ่มชัตเตอร์มันสูงขึ้นมา ถ้าไม่ปรับตัวปรับท่าทางการถ่ายภาพก็ถอด Soft release ทิ้งครับ

พอไม่มีเรื่องคุณภาพของภาพก็ไม่รู้จะเอาอะไรมาพูดคุยกันมากมายครับ เอาเป็นว่าถ้าเรื่องความรู้สึกในการใช้งานน่าจะพูดคุยกันได้มากกว่าครับ Leica MP ผมว่าเป็นที่สุดแล้วตัวนึงของความรู้สึก “ดี” ในการใช้งานครับ เริ่มตั้งแต่การจับถือ น้ำหนัก งานประกอบ มันหนักมันแน่น มันรถถัง อันนี้ไม่มีข้อสงสัยครับ และส่วนชัตเตอร์นั้น ต้องชมเชยเป็นอย่างมาก เพราะมันนุ่มนวลและนิ่งมากครับ ถือถ่ายสปีดต่ำได้ง่าย จริง ๆ แล้วแต่ก่อนผมก็ไม่เคยรู้นะครับ แต่มีพี่ที่เคารพรักกันในวงการแนะนำมาว่าเวลาไปซื้อให้ลองกดชัตเตอร์ทุกตัวเลยครับ เพราะว่า Leica MP ชัตเตอร์แต่ละตัวมันนิ่มและแข็งไม่เท่ากัน เรื่องนี้เป็นความรู้ใหม่จริง ๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะต่างกันได้ “ขนาดนั้น” แต่พอไปลองเล่นที่ร้านก็พบว่าจริง ตัวที่ชัตเตอร์แข็งก็แข็งจริง นิ่มก็นิ่มจริง เลยเลือกแบบนิ่ม ๆ มาครับ นุ่มนวลและนิ่งมาก ยกให้เป็นชัตเตอร์ที่นิ่มนวลที่สุดรุ่นหนึ่งของกล้องที่เคยครอบครองมาในชีวิตนี้ เรื่องชัตเตอร์นี่สำคัญนัก เอาไว้จะเขียนเม้ากันเป็นตอน ๆ ไป
สรุปว่า Leica MP นี้กลไกทุกอย่างเงียบ ชัตเตอร์ก็เงียบ ทุกอย่างเงียบกว่ารุ่น M6 อย่างรู้สึกได้ คิดว่าเวลาถ่ายรูปไลฟ์ในสภาพแวดล้อมทั่วไปคนถูกถ่ายคงไม่ได้ยินเสียงแน่ ๆ (ได้แต่คิด เพราะตัวเองก็ไม่ใช่สายนี้เท่าไร ส่วนมากจะกลัวคนถูกถ่ายไม่พอใจเลยช่างมันไม่ถ่ายก็ได้ 555) ทั้ง ๆ ที่ M6 ผมว่าก็ดีมาก ๆ แล้ว รุ่นนี้ก็ดีขึ้นไปอีกครับ เข้าใจแล้วว่าสมัยก่อนกล้อง RF มันมีจุดที่สู้กับ SLR ได้อย่างไร ลองหามาสัมผัสมาลองเล่นกันดูครับ ผมไม่ได้ป้ายยาให้ซื้อ กล้องมันจะจัดการของมันเอง กล้องอะไร๊ ดำขำ และแสนจะเซ็กซี่
ขอยืมพี่อ๋อยแกมาถ่ายภาพสักหน่อย กล้องเราเลนส์ร้าน Fotofile --> Noctilux 0.95/90 Korea, Summicron 2/50 APO LHSA, Summilux 1.4/50
ว่ากันถึงเรื่องกล้องเซ็กซี่แล้ว ก็เห็นควรว่าน่าจะต้องหาเลนส์แบบเซ็กซี่มาเข้าคู่กันถึงจะลงตัวดี เจ้าตัว Black paint ดำ ๆ ขำ ๆ แบบนี้น่าจะงามงด หารูปดูน้ำลายหกมานาน พวกเลนส์ Black paint ส่วนมากเราจะเอื้อมไม่ค่อยถึง มีแค่บางตัวที่เพื่อนชาวไลก้าแนะนำมาว่ายังพอจับต้องได้ แต่พอเอาเข้าจริงลองได้จับน้องดำเซ็กซี่ 35 Summicron ASPH. black paint แล้ว วินาทีสุดท้ายก็เปลี่ยนใจกลับบ้าน มากอดน้อง (ที่เซ็กซี่กว่า) คือ 35 Summicron ASPH. Anthracite เพราะถึงนางจะเป็นเงินยวงไม่ดำขำเข้ากับกล้อง แต่นางก็มีเอว มีสะโพก ไม่เหมือนรุ่นอื่น ๆ ที่เปลี่ยนแต่สี หุ่นยังเป็นกระบอกเหมือนเดิม แล้วกล้องกับเลนส์ black paint ที่เข้าคู่กันก็มีภาพออกมาให้เห็นเกลื่อนกลาด เลยคิดว่าก็น่าจะมีอะไรเป็นเอกลักษณ์สักหน่อย เลยมาลงตัวที่ Anthracite แล้วหาฮูดโทรม ๆ มาใส่ใช้ทุกวันเป็นอันจบพิธี ส่วนฮูดเทาที่เป็นสีชื่อรุ่น (Anthracite gray) ก็เก็บถนอม ๆ ไว้ใช้เวลาออกงาน 555

ทิ้งท้ายว่านอกจากนี้ผมโดนหลายต่อหลายท่านป้ายยา Leicavit black paint ว่าใส่แล้วจะถ่ายต่อเนื่องได้รวดเร็วมากขึ้น จับถือกล้องได้ถนัดมากขึ้น และที่สำคัญกล้องหล่อขึ้น ผมไปลองจับลองเล่นดูแล้ว กลไกดี หนักแน่นดีครับ แต่ก็เพิ่มน้ำหนักกล้องมากขึ้นค่อนข้างชัดเจน งานนี้เลยป้ายยากันไม่สำเร็จครับ เพราะประการแรกส่วนตัวผมเองว่ากล้องมันมีสัดส่วนที่สวยลงตัวอยู่แล้วเอา Leicavit มาใส่ผมว่ามันเทอะทะไป (แต่บางคนชอบนะครับ อันนี้แล้วแต่คนจริง ๆ) ประการที่สองคือผมคงไม่ได้ใช้อะไรถ่ายเร็ว ๆ แบบนั้น และสุดท้ายคือมันแพงมาก T_T ก็ขอใช้ก้านขึ้นฟิล์มแบบปกติไปเหมือนเดิม แล้วเอา Hand grip มาใส่ไว้ให้ลุยถนัด ๆ คงจะดีกว่า
และสุดท้ายตามธรรมเนียม ขอฝากภาพจากกล้องตัวนี้ไว้ให้ดูเล่นกันครับ (จะทยอยลงเรื่อย ๆ นะครับ) สวัสดี
Kodak Portra 400
Commentaires