Fujifilm X-half exp.
- Paron Chatakul
- Jul 16
- 2 min read

ภาคต่อ มาเจาะลึกเรื่องการใช้งานกล้องตัวนี้กันหน่อยครับ เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ไปมาเลเซียมาเลยลองทำใจแข็ง ๆ เก็บ Hasselblad X2D และ Nikon Zf ไว้ที่บ้าง ควง Fujifilm X-half ไปเพียงตัวเดียว แล้วดูซิว่าจะได้ภาพอะไรกลับมา ซึ่งผมขออนุญาตไม่อธิบายลงรายละเอียดของ function ตัวกล้องทั้งหมดนะครับ เพราะท่าน reviewer ทั้งหลายน่าจะอธิบายกันจนละเอียดยิบไปหมดแล้ว... ใช่ครับ มันมีแค่นั้นแหละ ความแลกจากกล้องทั่วไปนิดนึงก็คือหน้าจอแสดงผลมันจะเป็นแนวตั้งตามคอนเซ็ปกล้องฟิล์ม half frame สมัยก่อน ที่ถ่ายเป็นแนวตั้ง (พื้นที่ครึ่งหนึ่งของภาพฟิล์มปกติ) ทำให้ฟิล์มม้วนนึงจะได้ประมาณ 72 ภาพ ประหยัดดี แต่ภาพที่อัดมาได้ เกรนของภาพก็จะเม็ดใหญ่ขึ้นไม่เนียนเหมือนภาพขนาดปกติทั่วไป แต่นี่ดิจิทัลครับ มันทำแนวตั้งเหมือน half frame ก็แค่สร้าง gimmick เท่านั้นเอง เตือนไว้ก่อนว่าคนที่ชื่นชมสัจจะทางการออกแบบอย่ามาชายตามอง X-half เลยนะครับ มันปลอมหมด half frame ปลอม ฟิล์มปลอม ก้านขึ้นฟิล์มปลอม ฯลฯ แต่ถ้าทำใจสบาย ๆ มันก็ถ่ายสนุกดี

มาว่ากันเรื่องเอากล้องไปใช้ในทริปมาเลเซีย อันดับแรกต้องบอกเลยว่าทริปนี้กลายเป็นทริปที่เดินสบายมาก ๆ ครับ เพราะไม่มีของหนัก ๆ เป็นภาระ และไม่ต้องกลัวความโดดเด่นเป็นที่หมายตาของขโมยขโจรด้วย อยากจะหยิบมาถ่ายตอนไหนก็หยิบมาถ่ายได้ง่าย ๆ (ยากกว่าหยิบโทรศัพท์นิดเดียว) ทริปนี้ไปทำงานครับ ไม่ได้เที่ยวเล่นมากมาย ส่วนมากได้เดินเล่นตอนเย็นเท่านั้น เลนส์ที่ X-half ให้มาเทียบเท่าระยะ 32mm f2.8 ส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันกว้างเกินไปนิดนึงจากระยะที่เคยชิน แต่ในทางกลับกันก็ทำให้การถ่ายภาพแบบ snap ง่ายดีเหมือนกัน shoot from the hip กดถ่าย ๆ ไปเลย รอลุ้นภาพเอา ก็สนุกดีไม่น้อย โดยเฉพาะเวลาเดินถ่ายตามถนนหนทาง ใช้ film camera mode ภาพไม่ต้องแสดงขึ้นมาที่จอ ไม่ต้องกังวลว่าใครจะมามองว่าเราจะถ่ายภาพอะไร คนผ่านไปผ่านมาไม่รู้สึกไม่สบายใจว่าเรากำลังถ่ายภาพอยู่ มันทำให้ถ่ายได้สนุกมากครับ โดยเฉพาะคนถ่ายภาพที่ไม่ค่อยมีปากไปทักทายพูดจากับใครต่อใครแบบผม แอบ ๆ ถ่ายเก็บบรรยากาศแบบ candid สะดวกดี
เมื่อใช้ film camera mode แล้วต้องพูดถึงช่องมองภาพกันนิดนึง น่ารักน่าชัง เพราะมันเป็นแค่ช่องมองภาพจริง ๆ optical แบบไม่มีอะไรเลย ไม่มี indicator เรื่องการวัดแสง ไม่มีข้อมูลใด ๆ มาแสดง มันใช้เพื่อเล็งกรอบภาพอย่างเดียวเลยครับ และถ้าใครไม่คุ้นเคยแนวนี้เวลาถ่ายใกล้ - ไกล มันมี parallax ด้วยนะครับ เผื่อ ๆ กันเอาไว้นิดนึง บางท่านก็ว่ามันเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ติดมากับกล้องแบบนี้ ส่วนตัวผมแก่ละ กดเลย ไม่เล็ง

ย้ำตรงนี้อีกครั้ง ด้วยเซนเซอร์ขนาดเพียง 1” ของ X-half ไม่ต้องไปคิดถึงหน้าชัดหลังเบลอถ้าไม่ได้ถ่ายใกล้มาก ๆ ซึ่งข้อดีหนัก ๆ ของมันเลยคือการถ่ายแบบ candid เร็ว ๆ นี่แหละครับ ใช้วิธี Hyper focusing หรี่ค่ารูรับแสงลงหน่อย ปรับเป็น MF คุมระยะชัดไว้ในระยะตามต้องการจากสเกลที่ระบุบนเลนส์ แล้วถ่ายไปได้เลยครับ ซึ่งมันสามารถครอบคลุมระยะชัดลึกได้มากในขณะที่ไม่ต้องหรี่รูรับแสงมากนักได้ สะดวกและสนุกดี
แบตเตอรี่ ใช้แบตแบบเดียวกับกล้องรุ่นอื่น ๆ ของ Fujifilm เพราะฉะนั้นพอเอามาใช้กับกล้องเล็ก ๆ แบบนี้มันเลยอึด ถึก มาก ๆ จากสเป็คเคลมไว้ที่ 880 ภาพต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ใช้จริงก็ใช้ลืมไปเลยครับ สบาย ๆ ถือเดินถ่ายหนัก ๆ ได้ ไม่ต้องห่วง

ไฟ LED ที่ใส่มาให้ใช้แทนแฟลช เล็ก ๆ แสงบาง ๆ พอใช้ได้ในบางสถานการณ์ที่แสงน้อย ๆ นะครับ มีไว้ไม่เสียหาย แก้ขัดได้อยู่ครับ แต่ hot (cold) shoe ที่ให้มามันน่าเสียดายที่ไม่มี contact อะไรเลย จะใช้แฟลชจริงเสริมก็ค่อนข้างลำบาง แต่ถ้าติดเป็นไฟ LED ดวงใหญ่ ๆ เสียบ hot shoe แทนก็น่าจะใช้ดีอยู่ครับ

Filter ต่าง ๆ ที่ให้มาและดูเป็นที่ฮือฮากันตามรีวิวต่าง ๆ เช่น Light leak, Halation, หรือฟิล์มบูด ส่วนตัวผมไม่ได้ใช้เลยครับ เล่นสนุกได้แต่เบื่อเร็ว เอาเป็นว่าแค่ film simulation ก็เพียงพอแล้ว และส่วนตัวผมชอบใส่ grain เข้าไปสักหน่อย ก็จะได้ภาพที่มีคาแรกเตอร์แบบ “ถ่ายแล้วได้เลย” ไม่ต้องเอามาแต่งภาพภายหลัง แต่ผมคิดว่าถ้าเพื่อนพี่น้องคนใดมาสายนี้แล้ว คงไม่มานั่งแต่งภาพล่ะครับ กล้องมันเองก็ไม่สนับสนุนด้วยเพราะ X-half ไม่มีไฟล์ RAW นะครับ ถ่ายเป็น jpeg อย่างเดียวเท่านั้น

ส่วนข้อจำกัดของกล้องตัวนี้ก็มีเยอะอยู่นะครับ ตัวที่ผมคิดว่าร้ายแรงมากคือระบบโฟกัสอัตโนมัติ มันช้ามากครับ ช้ากว่า X2D ที่เป็น medium format เสียอีก มันทำให้เวลาถ่ายแบบ snap แล้วใช้ AF มันไม่ดีเลย ผมคิดว่าหลายคนที่ไม่เอากล้องตัวนี้เลยก็เพราะเหตุนี้แหละ

คุณภาพของภาพ อย่าคาดหวังอะไรมากจากเซนเซอร์ 1” ครับ ถ้าคุณเป็นคนที่มีกล้องหลักคุณภาพสูงอยู่แล้ว มาเอา X-half ไปเล่นเป็นกล้องสนุก ๆ จัดไปได้ แต่ถ้าคิดจะเอาไปถ่ายจริงจัง มองข้ามไปเลยครับ ถ่ายด้วยโทรศัพท์ยังดีกว่า ง่ายกว่า (พูดแรงไปไหมนะ) สั้น ๆ แต่จบ ฮ่ะ ๆ เวลาถ่ายในที่แสงน้อยจุดรบกวนมันจะเยอะและกล้องโปรเซสมาภาพมันจะไม่ค่อยดี ผมเลยชอบใส่ grain เข้าไปกลบเกลื่อนมัน ก็ถือว่าพอใช้ถ่ายเล่นในที่มืดได้อยู่ครับ
3 ภาพนี้เปรียบเทียบ effect: no grain, weak small grain, และ strong small grain นะครับ
ก้านขึ้นฟิล์มที่ไม่ใช่ฟิล์มของมันเนี่ย ส่วนตัวผมว่าเกะกะ และสร้างความสับสน เสียหายได้พอสมควร การตอบสนองมันแย่ครับ ไม่ไวพอ เช่น เวลาอยู่ใน film camera mode ถ่ายภาพเสร็จแล้วจะถ่ายภาพถัดไปต้องโยกก้านนี่เหมือนขึ้นฟิล์ม แต่โยกเร็วไม่ได้นะครับ มันไม่ติด แล้วนึกสภาพว่าต้องค่อย ๆ ง้างเจ้าก้านนี่ที่ให้ความรู้สุกโหวง ๆ ไม่มีแรงต้นของฟิล์มจริง ๆ ปรับน้ำหนักมาก็เบา ไม่เวิร์คครับ ฮ่ะ ๆ แต่ถ้าอยู่ในโหมดการถ่ายภาพธรรมดาไม่ต้องห่วง กดถ่ายภาพต่อเนื่องไปได้เลย (ต่อเนื่องแบบช้า ๆ นะครับ กล้องมันต้องใช้เวลากว่าจะกดได้อีกที) ยกเว้นว่าอยากจะถ่ายเป็น 2 ภาพใน 1 เฟรมก็ให้โยกเจ้าก้านนี่เพื่อเปิดฟังก์ชันดังกล่าว นอกจากนี้ก้านนี่ยังเป็นระเบิดเวลา ถ้าใครได้กล้องมาแล้วไม่อ่านคู่มือระวังให้ดี เพราะเวลาปิดกล้องเราต้องดันเจ้าก้านนี่เข้าไปเก็บก่อนแล้วค่อยเลื่อนสวิตช์ปิดนะครับ ไม่งั้นเขาบอกว่ามัน “อาจ” ทำงานผิดปกติได้
โหมด movie สำหรับผมไม่จำเป็นเลย เพราะไม่ถ่าย ฮ่ะ ๆ เลยขออนุญาตไม่พูดถึงตรงนี้นะครับ
สรุป Fujifilm X-half - เล็ก เบา ฟิล์มปลอม สนุก ช้า ของเล่น จบ – ไม่แปลกใจที่หลายคนมักพูดว่าถ้าไม่รักก็เกลียดเลย แต่ผมขออนุญาตทั้งรักทั้งเกลียดก็แล้วกันครับ เอาเป็นว่าถ้าซื้อมาใช้คุณจะได้ภาพประมาณที่เห็นนี้ และคาดหวังคุณภาพสุด ๆ จากกล้องตัวนี้ไม่ได้ ในทางกลับกัน กล้องตัวนี้สามารถสร้างความสุข ความสนุกเวลาใช้งานให้ได้ครับ... สวัสดี




ปล. ภาพที่ถ่ายมาทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่ผมใช้ film simulation: classics chrome นะครับ มีนิดหน่อยที่เป็น provia พอจะแยกกันออกไหม ^^
Comments