Nikon Z8
- Paron Chatakul
- Aug 4
- 2 min read
จากคลาสสิกจำลองมาสู่ความเหมาะสมระหว่างรูปร่างและเทคโนโลยี

สวัสดีครับ หันมาควง Z8 แล้วครับ ทิ้ง Zf ไว้ข้างทางโดยที่นางไม่ได้ทำอะไรผิดเลยครับ แค่เธอยังดีไม่พอ ฮ่ะ ๆ Zf เป็นกล้องที่ให้ภาพดีเป็นที่น่าพอใจนะครับ เพียงแต่ผมอยากได้เลนส์ที่ระยะซูมประมาณ 600mm เพื่อถ่ายนกได้สะดวก ๆ และคุณภาพดี แต่เลนส์ Nikkor ให้ผมไม่ได้ (ยังจำได้ไหมครับว่า Nikkor Z 180-600 มันคุณภาพไม่ถึงอย่างไร ลองไปตามอ่านดูนะครับ เป็นสิ่งที่ Reviewer ไม่ได้พูดถึงจริง ๆ) ผมเลยต้องไปใช้ Nikkor Z 100-400 S ที่แพงกว่าแต่ก็ให้คุณภาพของภาพที่ดีกว่าด้วย อย่างไรก็ตามระยะมันไปได้แค่ 400mm เท่านั้น ส่วนเลนส์ดี ๆ ระดับ 600mm อย่าง 600mm f6.3 VR S ก็ราคาเกือบ ๆ 2 แสน หรือจะเอา 600mm f4 TC VR S ก็โน่น... เกือบ 6 แสน แถมใช้งานอเนกประสงค์ไม่ค่อยจะได้ เรามันนักถ่ายนกมือสมัครเล่นก็คงไม่ได้ไปใช้เลนส์ถึงระดับนั้น ผมจึงเลือกใช้การครอปภาพเป็น Dx (APS-C) เพื่อดึงภาพเข้ามาให้ได้ระยะ 1.5 เท่า จากเลนส์ 400mm ก็จะได้เทียบเท่ากับ 600mm ได้เหมือนกัน (เลือกที่จะไม่ใช้ teleconverter เพราะคุณภาพของภาพจะลดลง) ทีนี้ Zf Dx crop แล้วภาพจะเหลือแค่ 10MP(จาก 24.5MP) แต่ถ้าใช้ Z8 Dx crop แล้วภาพจะยังเหลืออยู่ราว 20MP (จาก 45.7MP) การ crop ได้ขนาดนี้ ผมลองเอามาถ่ายภาพกีฬายิมนาสติก ใช้แค่เลนส์ Nikkor Z 135 f1.8 S Plena ตัวเดียวลุยได้เลย ครอปภาพเอานิด ๆ หน่อย ๆ ขนาดไฟล์ภาพยังเหลือใหญ่มากพอ แถมได้รูปรับแสงกว้าง จุดรบกวนน้อย ทดแทนเลนส์ช่วง 70-200 f2.8 ได้สบาย (Fx 135mm / Dx 202.5mm สลับกันใช้ได้สบายมาก)


ประกอบกับข้อดีทางการใช้งานของ Z8 ที่ผมให้ความสำคัญอีกนิด ๆ หน่อย ๆ เช่น การมีม่านมาปิดป้องกันเซนเซอร์เวลาเปลี่ยนเลนส์ที่มีใน Z8 Z9 แต่ Zf ไม่มีมาให้, การใช้เมมโมรี่การ์ดแบบ CF express type B, ปุ่มมีไฟในที่มืด เวลาถ่ายดาวนี่เด็ดเลย, และการจับถือที่เข้ามือมากกว่า แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแลกมากับอะไรบางอย่างด้วย... เรามาว่ากันครับ

ก่อนอื่นขอแนะนำให้รู้จัก Stack CMOS sensor จุดเด่นของ Z8 Z9 เสียก่อน กล้องเรือธงของหลาย ๆ ยี่ห้อเริ่มขยับมาใช้เซนเซอร์ลักษณะนี้กันแล้วเพราะมันแก้ปัญหาเรื่อง Flicker และ Rolling shutter ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ electronic shutter ได้ดี ไม่ต้องใช้แบบ hybrid ที่จะส่งผลต่อ Bokeh เมื่อใช้ความเร็วชัตเตอร์สูง ๆ กันอีกแล้ว แน่นอนครับ Z8 ไม่มี mechanical shutter อีกต่อไป มันใช้ electronic shutter ล้วน ๆ Stack CMOS มันรับแสงบึ้ม ทีเดียวกันเซนเซอร์ ไม่ได้รับแสงไล่กันไปเป็นแถว ๆ เช่นเดิม ปัญหาทั้งหลายจึงหมดไปหรือบรรเทาไปได้มากโข นี่เป็นจุดหลัก ๆ เลยครับที่ทำให้ Z8 Z9 แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ ในค่าย ถึงแม้ว่ารุ่นใหม่ ๆ จะเริ่มมี Partial stack CMOS ออกมาบ้างเช่น Z6 III ซึ่งประสิทธิภาพดีกว่าเซนเซอร์ปกติมาก แต่ก็ยังไม่เท่า Stack แท้ ๆ ของ Z8 Z9 ครับ อย่างไรก็ตามเซนเซอร์รับภาพของ Z8 มีขนาด 45.7MP ซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะอยู่ แตกต่างจาก Zf ที่มี 24.5MP ส่งผลต่อระยะห่างของ Photodiode (pixel pitch) ของ Zf มีสูงกว่า ทำให้เกิดความร้อนสะสมน้อยกว่ามีแนวโน้มสามารถจัดการจุดรบกวนภายใต้สภาพแสงน้อยได้ดีกว่า แถมว่า Nikon Zf สามารถดัน ISO ขึ้นไปได้สูงกว่า Z8 อีกด้วย



หน้าตาแล้วแต่คนชอบ Z8 มันเป็นหน้าตาของกล้องตามยุคสมัยนี้เลย เป็นหน้าตาที่คัดเลือกมาแล้วว่าเหมาะสมกับเทคโนโลยีที่อัดอยู่ข้างใน เหมาะสมแล้วกับภาพลักษณ์ของอนุกรม Z ของนิคอน ปุ่มเยอะ ใช้กดแล้วหมุนลูกกลิ้งเอา ปรับอะไรไปแสดงผลในจอด้านบนให้เห็น ในขณะที่ Zf ให้ภาพลักษณ์ของกล้องนิคอนที่เป็น Heritage มีความสวย คลาสสิก ลูกกลิ้งปุ่มต่าง ๆ ปรับแล้วเห็นตรงนั้นเลย ไม่มีจอแสดงผลด้านบน ปุ่ม function ต่าง ๆ มีให้น้อยกว่า ไม่มี joystick

Z8 เท่าที่ได้ลองนี้มี function ต่าง ๆ ที่ “เกิน” กว่าความจำเป็นในการใช้งานของผมไปมาก ๆ เลยทีเดียว เป็นจุดที่เสียดายที่เราไม่ได้ใช้ เช่น
- Z8 ถ่าย video ระดับ 8K60p คาดกว่าใช้จนกล้องพังก็ไม่ได้ใช้แน่ ๆ // Zf 4K60p
- Z8 จุดโฟกัส 493 จุด (-7.5EV) // Zf 273 จุด (-8.5EV) เอาจริง ๆ ผมใช้ก็ไม่ได้รู้สึกต่างกันมาก ความไวในการโฟกัสก็ดีมากทั้งคู่ (แต่ Zf จะเอ๋อกว่านิดหน่อยในบางสถานการณ์) ส่วนในที่แสงน้อยจริง ๆ ยังไม่ได้ทดสอบดูเลยครับ ระบบโฟกัสของทั้งสองรุ่นนี้ รวมถึงรุ่นใหม่ ๆ ที่ตามออกมาถือว่าดีขึ้นมากจาก gen ก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน เอาว่าถ้าจะซื้อกล้อง Nikon สักตัวให้มองหาหน้าตา กะโหลกที่มันเหมือน Z8 หรือไม่ก็รุ่น Zf จะได้ระบบโฟกัสใหม่ที่ดีขึ้นมาก ๆ ครับ
- Z8 ถ่ายภาพต่อเนื่อง 20fps buffer 1,000 RAW // Zf 14 fps (mechanical) buffer 200 RAW ได้ใช้เวลาถ่ายกีฬาจริงจัง เช่นถ่ายยิมนาสติก มันส์มาก แต่นาน ๆ คงจะได้ใช้สักที
- รูปแบบจอพับแตกต่างกัน ผมชอบ Z8 มากกว่าที่ก้มเงยจอได้โดยที่ไม่ต้องกางออกมาข้าง ๆ แต่อย่าง Zf มันจะพับหมุนไปดูเวลาถ่ายตัวเองได้เวลาตั้งขาตั้งแล้วถ่ายตัวเอง อันนี้แล้วแต่การใช้งานของแต่ละคนแล้วครับ แต่ข้อดีของจอแบบ Zf ที่ผมชอบคือมันพับหันจอกลับเข้าไปด้านในได้เลย เหมือนกล้องไม่มีจอหลังดี
- Picture control แต่ก่อนเคยเหมือนกัน แต่ตอนนี้ Zf อัพเฟิร์มแวร์ใหม่ โหลดจาก online มาใช้กันอย่างมันส์ (สำหรับคนชอบนะครับ) ล้ำกว่า Z8 ก็ตรงนี้แล

- พอร์ตต่าง ๆ ฟังก์ชันต่าง ๆ ในเมนูที่ซุกซ่อนอยู่มากมาย Z8 มีมากกว่าครับ แต่ส่วนมากคนทั่ว ๆ ไป (หรือเฉพาะเราเอง) ไม่ค่อยได้ใช้
- Zf เป็น mechanical shutter ที่เสียงดังมาก ๆ ผมว่าดังกว่าทุกรุ่นในอนุกรม Z ในขณะที่ Z8 ไม่มีเสียงอะไรเลย เวลาถ่ายก็ไม่มี black out มีแต่กรอบจอกระพริบขึ้นมาแว้บนึงเพื่อให้รู้ว่า อ่อ ถ่ายไปแล้วนะ หรือมิเช่นนั้นต้องใช้การเปิดเสียงสังเคราะห์เอาถ้าอยากได้ยินเสียง ซึ่งปลอมมาก ฮ่ะ ๆ
- Z8 เปิด/ปิดเครื่องเสียงดังกว่า Zf อย่างมีนัยสำคัญ

Z8 เทพกว่า Zf เกือบทุกทางยกเว้น ISO กับ Picture control แต่เอาการใช้งานจริงแบบทั่ว ๆ ไป ไม่ค่อยรู้สึกแตกต่างกันมากหรอกครับ อย่างไรก็ตามถ้าจะผันตัวมาเล่น Z8 การจะได้ความเทพของมันมาต้องแลกกับอะไรบ้าง
- น้ำหนักที่หนักมากกว่า 2 ขีด (Z8 = 910g // Zf = 710g) คอห้อยแน่ ๆ ขนาด Zf ติดกับ 24-120 ยังหนักกว่า Hasselblad X2D + XCD 55 V แบกกันคอห้อยแน่ ๆ ยิ่งถ้าขนเลนส์ไปหลาย ๆ ตัว อายุอานามอย่างเราไม่ค่อยจะไหวแล้ว
- Z8 กินแบตมากกว่า (นิดหน่อย Z8 = 340 shots // Zf = 380 shots) และถ้าถ่ายรัวเมื่อไรล่ะก็ แบตไหลเป็นน้ำ เท่าที่ไปลองถ่ายกีฬายิมนาสติกมา วันนั้นใช้แบตไป 3 ก้อน รัวภาพนิ่งอย่างเดียว ไม่ได้ถ่ายวิดีโอเลยนะครับ
- และราคาที่ต่างกันเกือบ 2 เท่า :3
เอาเป็นว่าไหน ๆ ก็ได้มันมาแล้วถึงแม้ว่าจะมาช้าสักหน่อย เดี๋ยวจะเอาไปใช้ โดยเฉพาะถ่ายนก หนู งู แมลง แล้วจะเอามารีวิวภาพกันให้ดูนะครับ วันนี้เอาภาพยิมนาสติกจากการทดลองใช้วันแรกมาฝากกันก่อน... สวัสดี


header.all-comments